เศรษฐกิจของประเทศไทย
ประเทศไทยเมื่อราวร้อยปีที่แล้วเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ผลผลิตที่สำคัญที่สุดคือ ผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งนอกจากการกสิกรรมแล้ว ยังรวมถึงผลผลิตจากป่าไม้ การเลี้ยงสัตว์และจับสัตว์น้ำด้วย แต่เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนเป็นแบบผลิตเพื่อขายหรือระบบทุนนิยมมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา มูลค่าผลผลิตอุตสาหกรรมมีสัดส่วนสูงเพิ่มขึ้นตามลำดับจนแซงหน้าเกษตรในปี พ.ศ.2524
ในปัจจุบันแม้ว่าการเกษตรจะเป็นอาชีพหลักของประชากรไทยในแง่ที่ว่าแรงงานร้อยละ 50 ยังคงทำงานภาคเกษตร แต่มูลค่าของผลผลิตจากการเกษตร (รวมทั้งปศุสัตว์ ประมง ป่าไม้) ที่คิดอยู่ในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ มีเพียงราวร้อยละ 10 ของผลผลิตรวมเท่านั้น
โครงสร้างการผลิตของไทยในปัจจุบันเศรษฐกิจสาขาที่มีมูลค่าสูงสุด คือ อุตสาหกรรม รองลงมาคือ การค้าส่งและค้าปลีก และบริการ (ที่รวมถึงการท่องเที่ยว การให้บริการต่าง ๆ ) การขนส่งและการคมนาคม สาขาการธนาคาร ประกันภัยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
แต่การที่ประชากรไทยส่วนใหญ่ ยังอยู่ในภาคเกษตร ทำให้จริง ๆ แล้วเศรษฐกิจภาคเกษตรของไทยยังมีความสำคัญสูงอยู่ ภาคเกษตรทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มในกิจการค้า การแปรรูปอุตสาหกรรม และอื่น ๆ สูง และเกษตรกรเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ การที่โครงสร้างการผลิตของคนไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคเกษตรที่ประสิทธิภาพการผลิตล้าหลังและมีรายได้ต่ำ ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่าไม่สมดุลและถึงจุดหนึ่งก็เริ่มมีปัญหาเศรษฐกิจถดถอย
ปัญหาภาคการเกษตรล้าหลังและการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม
นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจระบบตลาดแบบผูกขาด ไม่มีการแข่งขันเสรีเป็นธรรมจริง ทำให้คนมีรายได้ปานกลางและสูงมีรายได้สูงเพิ่มขึ้นกว่าคนมีรายได้ต่ำหลายเท่า เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนในอัตราที่สูงกว่าเดิม
สาเหตุของปัญหาการกระจายทรัพย์สินรายได้ที่ไม่ทั่วถึงนั้นเป็นผลมาจากนโยบายและโครงการพัฒนาของรัฐบาล ซึ่งเน้นการเร่งรัดพัฒนาความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโดยส่วนรวม โดยมุ่งส่งเสริมการลงทุนต่างชาติ การพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจภาคในเมืองเพื่อนายทุนขนาดใหญ่ขนาดกลาง มากกว่าที่จะกระจายการพัฒนาสู่ภาคเกษตรหรือภาคชนบท รวมทั้งรัฐไม่ได้พัฒนาเรื่องการศึกษาอบรมการพัฒนาฝีมือแรงงาน และการยกระดับประสิทธิภาพและค่าจ้างของคนงานอย่างจริงจัง
สาเหตุของปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ยังมีพื้นฐานมาจากระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีลักษณะการกระจายการถือครองปัจจัยการผลิตและทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน ทุน ที่มีความไม่เป็นธรรมสูง คนที่มีที่ดินมากเป็นร้อยเป็นพันไร่ หรือมีที่ดินในกรุงเทพฯ มูลค่าหลายพันล้านบาทซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม ยิ่งนับวันก็ยิ่งได้ประโยชน์จากค่าเช่า และการที่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นในอัตราสูงมาก โดยเฉพาะค่าเช่าและราคาที่ดินในเมืองย่านการค้า อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย นอกจากจะไม่มีทางหารายได้จากทรัพย์สินตัวนี้แล้ว ยังจะต้องเป็นเสียรายจ่ายในรูปของค่าเช่าหรือการซื้อที่อยู่อาศัยแบบผ่อนส่งด้วย
ในเรื่องทุนก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นเจ้าของกิจการมีหุ้น มีเงินฝากธนาคารและเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถให้ดอกผลในรูปกำไร เงินปันผล ดอกเบี้ย ในอัตราทวีคูณ ยิ่งคนมีทุนมากหรือมีอำนาจในเชิงผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดก็ยิ่งได้ดอกผลมาก และสามารถสะสมสืบทอดให้ลูกหลานสร้างความมั่งคั่งในอัตราสูง ขณะที่คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่มีทุน นอกจากจะไม่ได้ดอกผลเหล่านี้แล้ว ยังมักต้องเป็นลูกนี้เงินกู้ เป็นฝ่ายเสียดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนการทำงานและเลี้ยงชีพสูงขึ้น
โลกาภิวัฒน์
คำว่า “โลกาภิวัตน์” ฟังดูเหมือนกับว่าเศรษฐกิจทุกประเทศกำลังพัฒนาไปในแนวทางเดียวกัน เป็นระบบเศรษฐกิจเดียวกันแต่จริง ๆ แล้วเป็นเศรษฐกิจที่ผูกขาดและบงการโดยแระเทศพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงสิบกว่าประเทศ ควบคุมการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ กิจการค้า การขนส่ง การประกันภัยระหว่างประเทศ โดยผ่านบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งเรียกกันว่า บริษัททุนข้ามชาติ (Transnational Corporation) บริษัทข้ามชาติแต่ละแห่งมีสาขาตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ฯลฯ ยังเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้ทุนอุดหนุนภาคเกษตรของตนและใช้นโยบายกีดกันสินค้าเกษตรจากประเทศอื่น ๆ
เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ ญี่ปุ่น เป็นเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับผลกำไรที่ได้จากการลงทุนและการค้ากับต่างประเทศมาก ประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมสามารถขายสินค้าอุตสาหกรรม หรือแม้แต่สินค้าเกษตรกรรมบางอย่างของตนได้ในราคาสูงกว่าที่ประเทศที่กำลังพัฒนาสามารถขายวัตถุดิบและสินค้าเกษตรของตนได้ เพราะประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมมีอำนาจต่อรองในตลาดโลกสูงกว่า ทำให้ประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต้องขาดดุลการค้า คือ ซื้อสินค้าเข้าเป็นมูลค่าสูงกว่าที่ส่งออกไปขายได้ และต้องเป็นหนี้สินต่างประเทศเพิ่มขึ้นตามลำดับ